ประสบการณ์ในการใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อตัด วัดชายนา

ประสบการณ์ในการใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อตัด วัดชายนา

 *วันก่อน ไปวัดชายนา หลวงพ่อไม่อยู่ มีกิจนิมนต์ทั้งช่วงเช้า และบ่าย จึงไปกราบ สอบถามความรู้เรื่องต่างๆ กับพระอาจารย์รอง มีพี่ๆ ศิษย์วัดอยู่ด้วย คุยกันเกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลของวัด พี่เขาก็เลยบอกว่า หลายวันก่อน…คือเมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2551 พี่กับเพื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 3 ได้ขับรถกะบะคู่ชีพไปธุระข้างนอก ขับไปตามถนนเพชรเกษม พอถึงตรงแยกเขาย้อย ก็พลันเห็นรถ 18 ล้อรอเลี้ยวอยู่ตรงทางแยกนั้น พี่ขับมา 130 ก็ถือว่าเร็วมาก สำหรับรถที่ไม่ใหม่แล้ว หลบไม่พ้นแล้ว ประมาณว่า พอเห็น 18 ล้อ ก็ชนเข้าไปเปรี้ยงใหญ่เลย! ตำรวจท้องที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ลงบันทึกไว้ และถ่ายรูปที่เกิดเหตุ รวมทั้งซากรถกะบะไว้ด้วย เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ชาย 3 คน ที่อยู่บนรถกะบะนั้น ไม่มีใครเป็นอะไรเลย เราฟังเคลิ้มๆ ก็งงว่า “ไหน ใครนะพี่ ที่ขับรถไปชน 18 ล้อน่ะ” พี่บอก ก็เขาเองนี่แหละ ฮ้า! ไม่เห็นเขาจะมีอาการอะไรที่บ่งบอกว่าเพิ่งประสบอุบัติเหตุมาเลยอ่ะ   แถมยังเล่าเพิ่มว่า อีกคนที่นั่งหน้านะ หัวไปชนกระจกหน้ารถเต็มเปา กระจกบุ๋มเป็นรูปหัว และก็แตกด้วย กระจกแตกนะ แต่หัวไม่แตก!   
สรุปว่าไม่มีใครเป็นอะไรเลย ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ทุกคนออกมาจากซากรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พี่ๆ ทุกคนเป็นศิษย์วัด ไปมาหาสู่ ช่วยเหลืองานวัดกันเป็นปกติ เข้าใจว่าทุกคนบวชเรียนกับองค์หลวงพ่อตัดด้วย
พอถามว่า ห้อยอะไรกันบ้าง ก็ปรากฎว่า ห้อยกันคนละครึ่งวัด   ตามสไตล์ของพี่ๆ รุ่นใหญ่ที่วัดแหละ มีพระหลายองค์ และตะกรุดปลัดฯ เต็มไปทั้งสายคาดเอว 
ก็จึงมาเล่าสู่กันฟังไว้ ไม่ได้มาโปรโมทอะไรเป็นพิเศษ (พี่เขาพกกันเยอะมาก เล่าไม่หมด) อาจจะด้วยจิตที่ยึดเหนี่ยวองค์หลวงพ่อผู้เป็นครูบาอาจารย์อย่างมั่นคง สิ่งอันเป็นปาฏิหาริย์จึงเกิดขึ้น
สาธุ สาธุ สาธุ สังโฆอัปปมาโณ คุณของพระสงฆ์ประมาณไม่ได้

 *วันนี้ท่านผู้มีอุปการคุณ บ้านอยู่เมืองกาญจน์ ซึ่งเคยสั่งวัตถุมงคลเว็บลุงเยี่ยมหลายครั้ง โดยเมื่อวันเด็ก จู่ๆ ก็เดินมาทักลูกลุงเยี่ยม ที่วัดชายนา บอกว่าพาครอบครัวมากราบหลวงพ่อ บูชาของจากที่วัดแล้ว ยังมาขอเปลี่ยนตะกรุดหนังเสือจากลูกลุงเยี่ยมด้วย ^^ แต่วันนั้นอยู่ที่วัด ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ก็แยกย้ายกันไป

วันนี้ท่านโทร.มาถามหาของสิ่งหนึ่ง ของหวงของเราเอง คือตะกรุดคู่ชีวิตเชือกสีทอง ที่เราใส่หลอดไว้แล้ว กะจะเอาไว้บูชาเอง…แต่เมื่อท่านบอกว่า นายอยากได้ นายเป็นนายทหาร…ลูกลุงเยี่ยมเลยต้องยกให้นายทหารไปค่ะ เพราะท่านคู่ควรกว่าเรา ตะกรุดคู่ชีวิต เรียกกันตามตำราอีกชื่อหนึ่งว่า “ตะกรุดแม่ทัพ”

คนเมืองกาญจน์ยังเล่าอีกว่า ที่ตัดสินใจมาหาหลวงพ่อที่วัดชายนานั้น เพราะก่อนหน้านั้น เขามีประสบการณ์ “เฉียด” กับตนเอง โดยขอยืมมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์เพื่อนไปซิ่ง…ตอนแรกสตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด ลองไปลองมา ในที่สุดก็ติด ขับออกไปจนได้ แล้วยังไปเสียกลางทางอีกทีด้วย โดยเขาพะยามสตาร์ตอย่างไรก็ไม่ติด แต่พอเรียกช่างมา ยังไม่ทันทำอะไรช่างดันสตาร์ตติด เขาก็ไปต่อ เมื่อขับไปทางทางเรื่อยๆ จู่ๆ รถก็ตกลงข้างทางไปเลย รถพังเยอะ ต้องซ่อมหลาย แต่คนไม่เป็นไร แถมถ้าไม่ล้มตรงนี้ เลยจากตรงที่เขาล้มไปอีกนิด ก็จะเป็นเหวพอดี! เขารู้สึกได้ทันทีในตอนนั้น ถึงบารมีของหลวงพ่อ (เขาใช้ตะกรุดของหลวงพ่อตัดนี่แหละ) บอกว่า…สงสัยหลวงพ่อไม่อยากให้ออกไปตั้งแต่แรกแล้ว จึงสตาร์ตรถไม่ติด แต่เราดื้อไปเอง…

ด้วยความที่รู้สึกว่าหลวงพ่อได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงพาลูกเมียมากราบหลวงพ่อ ในวันเด็กที่ผ่านมา

จบข่าว  

(ขอบพระคุณ และขออนุญาตนำมาเล่าไว้ ณ ที่นี้นะคะ คุณคนเมืองกาญจน์    )

 *เมื่อวาน ท่านที่วัดเล่าให้ฟังว่า เด็กเมืองเพชรฯ เอาอิดาบไล่ฟันกัน ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำต้องวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แต่ก็โดนอิดาบฟันกลางหลังเสื้อผ้าขาดวิ่น เมื่อพ้นจากคู่อริแล้ว มาตรวจสอบหลังดู ไม่พบว่ามีเลือดตกยางออกเลย

ปรากฏว่า เขาห้อยรูปหลวงพ่อตัดใบเดียว รูปที่ทางวัดจัดพิมพ์ใหม่ ใบเล็กๆ นิ้วเศษ ที่ใส่ให้มาในซองวัตถุมงคล ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อ ด้านหลังเป็นยันต์มหาอุด

 *เพิ่งวางสายจากพี่สืบฯ คนที่เล่าให้ฟังในกะทู้โน้น ว่าพี่เขาเป็นตำรวจที่ใช้สนับมือแทนปืน พี่เขาโทร.มาสารภาพว่าป่วย ไม่หายสักที ตั้งแต่ได้ตะกรุดดอกหนึ่งจากลูกลุงเยี่ยมไปวันศุกร์ที่แล้ว พี่สารภาพว่า “สงสัยเพราะไปลองตะกรุด”

ว่าแล้วก็สารภาพว่า ปกติแทบไม่ได้จับปืนสั้น แต่วันนั้นหน่วยของพี่เขาเบิกเอ็ม 16 มา 1 กระบอก เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ พี่เห็นเข้าเลยหมั่นเขี้ยว แล้วเกิดความคิดวาบขึ้นมาบางอย่าง ออกปากกับลมฟ้าอากาศว่า “ของลองสักทีเถอะนะ อาจารย์ จะด่าผมยังไงก็ยอม” ว่าแล้วพี่ก็จ่อเอ็ม 16 ประทับไปที่ตะกรุดหลวงพ่อตัด ลั่นไก แต่…ยิงไม่ออก! มันติด มันขัดอะไรไม่ทราบ สืบฯ อีกหลายนายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พูดกันว่า ทำไมยิงไม่ออก แต่พอพี่ยกปลายกระบอกเอ็ม 16 ขึ้นฟ้า เสียงปืนก็รัวประกาศศักดานุภาพสนั่น! บัดนั้น พี่เริ่มรู้สึกตัวว่า…ไม่น่าลองเลย…แล้วก็เอาเอ็ม 16 กระบอกนั้นให้ลูกน้องไปดูต่อ นายตำรวจอีกคนก็เลยตรวจสอบปืน ปรากฎว่าใช้การไม่ได้แล้ว พี่เลยบอกว่า ให้ (แอบๆ) เอาไปคืนคลัง

จากนั้นมา พี่ก็ป่วย ไม่หายสักที…แล้วพี่ก็อยากมาขอขมาหลวงพ่อ กะให้หลวงพ่อด่าให้หายไข้  

ที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกว่าตะกรุดดอกนั้นคือตะกรุดอะไร…เป็นตะกรุดของหลวงพ่อตัดก็พอแล้ว แต่หากถามก็บอกได้ว่า ตะกรุดดอกนั้นคือตะกรุดคู่ชีวิต  

 *วันนี้มีรายงานประสบการณ์อีก 3 เคสดังนี้

1. นายทหารที่เมืองกาญจน์ (สละตะกรุดคู่ชีวิตให้ท่านไป 1 ดอก) แต่ท่านนำตะกรุดมหาอุด เนื้ออลูมิเนียมไปลอง โดยนำปืน 9 mm สมิธฯ ลองยิง 3 นัดแรก ยิงไม่ออก นัดที่ 4 ปืนแตก! ท่านที่โทร.มา เล่าว่า เห็นกับตาว่าชิ้นส่วนปืนกระเด็นหลุดมาเลย (ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนะคะ ยังไงขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะคะ)

2. นายทหารรายเดิม ได้รับคำสั่งย้ายด่วนให้ไปอยู่พื้นที่สีแดง ลำบากกันดารมาก ได้บูชาเหรียญเลื่อนไปใช้ ยังไม่กี่เดือน ก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายกลับมาที่เมืองกาญจน์ตามเดิมค่ะ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงฤดูโยกย้าย ท่านจึงชอบมาก ถูกใจใหญ่

3. นายตำรวจนายหนึ่ง บูชาตะกรุดมหาระงับไปจากวัด ท่านก็เอาไปลองอีกล่ะ (โปรดงดวิจารณ์ท่านนะคะ ทำอะไร ปล่อยให้ท่านรับผิดรับชอบของท่านเองค่ะ) คราวนี้เอาปืนสั้น 11 mm ยิงตะกรุดมหาระงับ เกิดปรากฎการณ์แปลก ยิงออก แต่ลูกปืนเลี้ยวไป เลี้ยวมา ไม่โดนตะกรุดสักที โดนยิงไปถึง 8 นัด และนัดที่เก้ายิงขึ้นฟ้า ปืนพัง!  

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมรับฟังน  
*วันนี้พี่มือปืน (ยิงตะกรุดมหาระงับ) โทร.มาเล่าเพิ่ม น้ำเสียงเซ็งๆ ลูกลุงเยี่ยม วู้ว เล่าก็ไม่ค่อยเถือก 
บอกว่า ปืน 11 กระบอกเนี้ย ใส่ลูกเต็มที่ได้ 8 ลูก แต่มักจะไม่ใส่ถึง แต่ตอนลอง (จุดธูปขอขมาก่อนลองซะด้วย) บอกว่าใส่ทีละ 4 นัด 2 ครั้งค่ะ รวมเป็นแปดนัด โดย 4 ลูกแรก จ่อยิงแบบชิลด์ๆ เหมือนผู้ร้ายในหนังไทย คือคาบยากาแร็ตยิงในระยะเผาขน (คืบครึ่ง ไม่ถึงสองคืบ) ลูกปืนเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา พี่บอกว่า ถ้ามีวีดีโอจะถ่ายไว้เลย…มันแปลก เหมือนมีแม่เหล็กผลักลูกปืนออก 4 นัดหมดไป ใส่ลูกใหม่อีก 4 ลูก ยิงในระยะเดิม รัวทีเดียว 3 นัด! ไม่โดนอีกแหละ
นัดสุดท้าย ยิงขึ้นฟ้า เสียงมันดังแปลกๆ ปืนพัง! ถามว่าซ่อมได้ไหม พี่บอกว่าไม่ได้แล้ว…บอกด้วยว่า ที่นาย x มาบอกว่า อย่าไปลองเลย พี่ก็อยากจะบอกคนอื่นแบบนั้นเหมือนกัน (ตัวพี่เองก็บอกว่า จะลองครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่ขอรองอีกแล้ว) แต่จะไปวัดชายนาอีก ไปกราบ ไปทำบุญกับหลวงพ่อเฉยๆ  

*เมื่อสักครู่ใหญ่ พาหลานขี่มอไซค์ไปซื้อของที่ร้านค้า พอซื้อเสร็จ หลานบอกปวดฉี่ เลยอุ้มหลานพาไปฉี่ที่ริมรั้วร้านค้า ปรากฎว่ามีหมาดำมาจากไหนไม่รู้ ไม่เห่าสักแอะ รู้สึกพี่แกก็งับน่องเราไปคำใหญ่ โอ๊ย! จ๊ากๆๆๆ หมากัดๆ เจ้าของร้านออกมาดูด้วยความเป็นห่วง สอบถามว่าเป็นไงบ้าง เราก็เลยเปิดน่องดู ปรากฎว่าเป็นรอยเขียวๆ จ้ำๆ และจุดแดงๆ นูนๆ พอเห็นได้ว่าเป็นรอยเขี้ยวหมา 4 เขี้ยว เจ้าของร้านบอกจะหาหยูกยามาทาให้ เราบอกไม่เป็นไร แล้วก็เดินกะเผลกๆ รีบพาหลานกลับบ้าน แบบว่ามันขัด มันปวด เพราะแรงงับของหมา พอมาถึงบ้าน คนที่บ้านก็แนะนำให้เอาน้ำเกลือล้าง แล้วก็ทาน้ำมัน ยาหม่อง ตามเรื่อง คิดว่า โชคไม่ดีที่ดันโดนหมากัด แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เข้า อาการก็ไม่น่ากลัวอะไรมาก
                            
ลูกลุงเยี่ยมมีตะกรุดที่ร้อยติดกับเชือกข้อมือใส่อยู่เป็นประจำ คนร้านค้าคิดว่า หมาคงฟันไม่ดี แต่ลูกลุงเยี่ยมคิดว่า น่าจะด้วยคุณของตะกรุด
จึงนำมาบันทึกไว้ ตอนที่เหตุการณ์ยังสดๆ ร้อนๆ ยังขัดขาอยู่เลย   

 *วันเสาร์ผมต้องรับเป็นมือสังหารปลาช่อนตัวเท่าแขน

ระหว่างที่หั่นปลาช่อนที่ตายแล้วเพราะการทุบหัวอยู่นั้นหลังจากขอ ขออโหสิปลาช่อนตัวนั้นแล้ว

มีดที่หั่นได้บาดเข้ามาที่นิ้วโป้งมือซ้ายที่จับปลาอยู่

โอ้ย…….

หันมาดูนิ้ว เลือดไม่ไหล แต่พอไปล้างมีเลือดซึมออกมานิดเดียว แผลไม่กว้าง และไม่ลึกอย่างที่คิด เหมือนกับรอยถลอกมากกว่า รอยมีด

นึกในใจว่าสงสัยเพราะเราไปทำเขาก่อน เขาเลยย้อนมาทำเราบ้าง

…………………………………………

แต่นั่นและถ้าผมไม่ฆ่า ก็ไม่มีใครฆ่า

เลยต้องสวมวิญญาณโหด

ก่อนนอนก็แผ่เมตตา และขออโหสิกรรม

…………………………………………

ปล.ผมกลัวเข็มมากๆ และกลัวเลือดด้วย

 *สาธุ ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังด้วยนะพ่อ x

วันนี้พี่สืบฯ ก็เล่าให้ฟังอีกเรื่อง คือพี่ท่านเก็บตะกรุดคู่ชีวิตไว้บนหัวนอน แล้วนำตะกรุดมหาระงับฯ มาติดตัวแทน

วันก่อนแกก็ไปปราบหงสา เอ๊ย ปราบคดียาบ้าตามปกติ แกบอกว่าวันนี้เหนื่อยๆ เพลีย สายตาพลาดไปบ้าง เกือบเป็นไข้โป้งเข้าแล้ว ปรากฎว่ารอดมาได้ เพราะตะกรุดสะกิด คือตะกรุดที่คาดเอวอยู่ จู่ๆ ก็ดันเอวแก เหมือนสะกิดเตือน ทำให้แกรอดจากการเป็นเป้ากระสุนมาได้ค่ะ

 *วันนี้มีอีเมล์ที่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งเล่าเรื่องปลัดฯ ให้ฟัง เลยขอนำมาลงไว้ในกะทู้นี้ด้วยค่ะ

“คือจริงๆ ตอนที่จะขอบูชาปลัดกะคุณเก๋นั้น จำได้ว่ารู้สึกเหมือนจะมีคนเป็นผู้หญิงครับ มาบอกว่าจะขอมาอยู่ด้วย เค้าบอกเค้าชื่อแก้ว มีลูกเล็กๆ ด้วยคนนึงครับ ไม่ได้ฝันนะครับ เหมือนจู่ๆ ภาพก้อแว๊บๆ มาตอนกลางวันนี่แหละ วันต่อมาก้อได้รับพัสดุจากคุณเก๋เลยเป็นปลัดไม้ผูกคอครับ ประสบการณ์ก้อคือ ผมเป็นคนที่หลงลืมไม่ค่อยใส่ใจของต่างๆ เลยครับ อย่างมือถือนี่หายประมาณสองเดือนครั้งเลย กุญแจต่างๆ นี่ทิ้งเรี่ยราดไปหมดครับ เลยขอร้องกะเค้าว่าให้ช่วยดูแลทรัพย์สมบัติข้าวของให้ หลังจากนั้นไม่เคยมีอะไรหายเลย เรื่องที่เด่นจริงๆ คือ น้องสาวที่เพิ่งกลับจากอเมริกา เล่าให้ฟังว่าวันนึงผมไม่อยู่บ้านแล้วเค้าจะเข้าไปในห้องผมเพื่อไปเอาหนังสืออ่านเล่น เค้าบอกว่าเห็นเป็นผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่บนพื้นห้อง วิ่งหนีออกมาแทบไม่ทัน อีกครั้งคือผมไปดูหนังที่เซนทรัลลาดพร้าว แล้วลืมล็อครถครับ เค้าแวบขึ้นมาให้เห็นเลย เลยลองเดินไปเช็คที่รถปรากฎว่าลืมล็อค ทีนี้เชื่อสนิทใจเลยครับ หลังจากนั้นก้อได้อีกท่านหนึ่งตอนที่ไปที่วัด คราวที่ไปพบกะคุณเก๋ด้วยมีปลัดอยู่ในตู้พอดี เลยบูชามา เห็นบอกว่าชื่อสมหมายนะครับ ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกยังไง แต่ผม ก้อ ไหว้วานให้ท่านทั้งสองดูแลอยู่ตลอด มีประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายเลยครับ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อเนอะของอย่างนี้ ผมเลยอยากได้ไว้อีกสักสองท่านครับ ให้น้องๆ ขอเป็นคนละแหล่ง ไม่ทราบคุณเก๋จะกรุณาเป็นธุระได้ไหมครับ ที่ขอคนละแหล่งไม่ได้เรื่องมากนะครับ แต่สงสารเค้าไม่อยากให้ต้องแบ่งภาคไปดูคนนู่นทีคนนี้ที อ้อ อีกอย่างเวลาทำบุญผมก้ออธิษฐานให้เค้าเรื่อยครับ เห็นมายิ้มแป้นกันเลย ก้อคิดเอาเองนะครับว่าถึงเวลานึงเค้าสบายพอ เค้าคงต้องจากเราไปแน่ๆ เลย”

จะเล่าแล้วนะ … 

 *เป็นเรื่องเบาๆ … คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากๆที่เกิดขึ้นกับผมในวันนี้

คือเรื่องมีอย่างนี้ครับ … วันนี้ก่อนออกไปทำงานผมก็ได้อาราธนาตะกรุดคู่ชีวิตตามตำราที่น้องเก๋บอกไว้เสร็จก็ออกจากบ้านเวลาประมาณ 07.30 น.

ปั่นจักรยานถึงที่ทำงานประมาณ 07.35 น.(บ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน) ก็รีบเตรียมงานไว้ส่งจังหวัด เพราะเป็นงานสิ้นเดือนก็เลยมีงานส่งเยอะมากสักหน่อย

จนถึง 09.00 น.ส่งงานให้ จนท.ที่จะไปจังหวัดเสร็จ ก็จะรีบไปที่ไปรษณีย์เพื่อไปชำระหนี้ที่ได้ก่อไว้ วันนี้คนไปใช้บริการชำระค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์คงเยอะ

เพราะเป็นวันต้นเดือนและเป็นวันจันทร์ด้วย แถมยังมีการประชุมผู้ใหญ่บ้านของทางอำเภออีก แต่ก่อนจะไปผมก็ได้ระลึกถึงหลวงพ่อและตะกรุดคู่ชีวิตที่พกอยู่

จึงได้อธิษฐานว่าขอให้ไปติดต่องานคราวนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วย ในขณะนั้นพอดีมีลูกน้องเดินเข้าไปในห้องแล้วพูดว่า วันนี้คนเยอะจริงๆ กำนันผู้ใหญ่บ้าน

ก็มาประชุม แถมเป็นวันจันทร์อีก คงจะต้องไปตอนบ่าย ผมก็เลยถามไปว่าจะไปไหน ลูกน้องก็บอกว่าจะไปจ่ายค่าโทรศัพท์และส่งเงินให้ลูกที่ไปรษณีย์

ผมก็บอกว่ากำลังจะไปเหมือนไปด้วยกันสิ เขาบอกว่าพี่ไปก่อนเถอะผมคงจะไปตอนบ่าย ตอนเช้าคงจะมีคนไปใช้บริการเยอะ ถ้าพี่กลับมาถึงก็บอกผมด้วย

ผมก็ปั่นจักรยานไปถึงที่ทำการไปรษณีย์ประมาณ 5 นาที มีทั้งรถจักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ ของผู้ไปใช้บริการจอดอยู่เต็มบริเวณหน้าไปรษณีย์

ก็เดินเข้าไปข้างใน ปรากฎเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากๆเลย ที่ไปรษณีย์มีช่องให้บริการอยู่ 2 ช่อง ช่องแรกมีผู้เข้าคิวยืนรออยู่ 4-5 คน ช่องที่ 2 มีอยู่ 2 คน

และมีคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งอีกประมาณ 10 คน บางคนก็กำลังกรอกแบบฟอร์ม บางคนก็นั่งรอญาติ ผมจึงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าบัตรคิวอยู่ที่ไหนไม่เห็นเอามาวาง

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าตอนนี้มีแค่ 2 คน ยื่นเรื่องมาเลยจะทำไร ผมก็เลยรีบยื่นแบบฟอร์มลงในตะกร้าให้เจ้าหน้าที่รับไปดำเนินการต่อซึ่งเหลืออยู่อีกแค่คนเดียว

เจ้าหน้าที่นำเรื่องของผมไปดำเนินการไม่ถึง 3 นาทีก็เสร็จ ผมก็เดินทางกลับไปที่ทำงาน พบลูกน้องถามว่าทำไมพี่เสร็จเร็วจัง ก็บอกเขาว่าให้รีบไปเดี๋ยวนี้เลย

เขาก็รีบขี่รถจักรยานยนต์ออกไปได้แป๊บเดียวก็กลับมาต่อว่าผมใหญ่เลย ว่าพี่ไม่น่าหลอกผมเลย มีคนไปใช้บริการเต็มห้องเลยไม่น่าจะต่ำกว่า 50 คนนะพี่

ผมงงเลยครับ คิดถึงหลวงพ่อและตะกรุดคู่ชีวิตขึ้นมาทันทีจนขนลุกเลย ผมรีบเอาใบเสร็จรับเงินของไปรณีย์ออกมาดู เป็นเวลา 09.13.38 น.ที่เขาให้บริการผม

ตอนที่ลูกน้องกลับมาเวลาประมาณ 09.20 น.เอง ผมก็ไม่เข้าใจว่าในช่วงเวลาประมาณไม่ถึง 10 นาที จะมีคนไปใช้บริการที่ไปรษณีย์มากมายต่อจากผม ก็เป็นจริงอย่างที่ลูกน้องบอกผมว่าจะไปตอนบ่าย เขาก็ได้ไปตอนบ่ายอีกจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พึ่งใช้วันเดียวก็เห็นแล้ว 
*เมื่อสักครู่ คนเมืองกาญจน์ (เขตทหาร) โทร.มาขอบูชาวัตถุมงคล พร้อมกันเล่าให้ฟังว่า รุ่นน้องของเขา ที่ช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ หลายเรื่อง ได้ไปมีเรื่องกับอริฯ ที่ผับแห่งหนึ่ง…ตัวเขาเองมีปืน แต่พอเริ่มเขม่นๆ กันกับอีกโต๊ะ เพื่อนของเขาจึงพาปืนไปแอบไว้เสีย เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายแรง…ปรากฎว่า พอเขาอยู่คนเดียว ฝ่ายตรงข้าม 3 คนจู่โจมทันที โดยเอามีดหัวตัดเงื้อฟัน ทีแรกเขาเอามือรับ! และทีที่สอง โดนเข้าที่กลางหลัง…ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล มีแต่รอยทางแดงๆ ที่หลัง และรอยซิบๆ “เท่ายางบอน” (มาตรวจภายหลังที่โรงพยาบาล) ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าใช้มีดไม่ได้ผล จึงพากันเอาโต๊ะตีน้องคนนี้…แล้วตำรวจก็เข้ามาระงับเหตุ ส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล ตรวจสอบอาการ

มือที่ยกขึ้นไปรับมีด หักไป 2 นิ้ว แต่ไม่มีแผล หมอถึงกับพูดว่า ตามรูปการณ์น่าจะโดนมีดฟันขาดไปถึง 3 นิ้ว

ที่หลัง มีรอยแดงยาวๆ เหมือนโดนลวดหนามข่วน มีน้ำใสๆ ซึ่งอยู่เหมือนยางบอน

ตามตัวไม่มีบาดแผล แต่ขาหัก จากการโดนโต๊ะฟาด

ก็สรุปว่า จากหนักกลายเป็นเบาอีกรายค่ะ 
*วันนี้ก่อนเที่ยงครับ เกิดอุบัติเหตุ รถมอไซต์ผมล้มครับ ช่วงนี้งดใช้บีเอ็ม

เพราะขี่มาด้วยความเร็วพอประมาณ ไม่น่าเกิน 70 กิโล พอถึงทางออกที่ทำงานซึ่งเป็นทางโค้ง มีรถยนต์พุ่งสวนเข้ามาในเลน เลยต้องเบรกกระทันหัน

ผลก็คือ มารู้สึกตัวอีกที่ก็อยู่ตรงพื้นแล้ว มีนักศึกษามาช่วยดูและเอารถขึ้น

ไม่เป็นไรเลย มีแต่ดินเปื้อนตามตัว แต่รถถลอกตามด้านข้างเนื่องจากครูดไปกับพื้นปูนหยาบๆ แล้วลุกมาขี่มอไซต์ไปทำงานต่อ

……………………………………….

งานนี้หลวงพ่อคุ้มครองครับ สาธุ

 *มีสมาชิกท่านหนึ่ง เล่าประสบการณ์นี้ให้ฟังมาทางอีเมลล์ค่ะ ขออนุญาตคุณเขานำมาโพสต์ที่นี่ด้วย ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ที่เล่าให้ฟัง

ต้องบอกก่อนว่า โดยปกติผมจะมีวัตถุมงคลที่พกแบบประจำตัวอยู่ 3 ชิ้น คือ พระกริ่งปวเรศปี 30… เหรียญหลวงปู่ดู่รุ่นแรก… แล้วก็ผ้าประทับรอยเท้าของหลวงปู่ดู่…

ส่วนวัตถุมงคลอื่นๆ ก็เปลี่ยนบูชาตามกิเลส เห็นใครเค้าว่าดี ก็จะพยายามหามาจนได้.. เมื่อได้มาแล้วก็จะอาราธนาติดตัวเสีย 2-3 วัน เพื่อดูความขลัง…

ในช่วง 2-3 วันนั้นก็จะอาราธนาของประจำตัวทั้ง 3 ชิ้น ขึ้นไว้บนหิ้งก่อน…

ที่นี้พอได้สมเด็จชะนีมาก็แบบเดียวกันครับ… เห็นเค้าว่าดีทางเมตตามหานิยมใช่มั้ย…ก็เอาเลย…ลองอาราธนาดูดีกว่า….

ว่า ถ้าพระสมเด็จองค์นี้ศักสิทธิ์จริงสมคำล่ำลือก็ขอให้…ผมเจอพระสมเด็จรุ่นเดียวกันนี้อีก… (หลวงปู่ดู่เคยบอกว่า พระที่เสกยากที่สุดคือ พระทางเมตตา เพราะต้องใช้จิตขั้นสูง… และพระเมตตานั้นมักจะอธิษฐานขอได้ เพราะผู้สร้างตั้งจิตด้วยความเมตตาเป็นหลัก) และที่อธิษฐานแบบนี้ก็เพราะเชื่อว่า ไม่มีใครแน่ๆ ที่บริษัทนี้จะมีสมเด็จชะนี เพราะคนส่วนใหญ่ที่ผมต้องติดต่อด้วย 95% จะเป็นฝรั่ง… ที่เหลือก็เป็นคนไทยที่ดูๆ แล้วไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เด็ดขาด…

 *วันรุ่งขึ้น หัวหน้าผมซึ่งเป็นฝรั่งได้มานั่งเล่น คุยด้วยที่ห้องทำงาน…

ช่วงหนึ่งของการสนทนา เค้าก็ถามว่า “จะเดินทางแล้วยูเตรียมความพร้อมหรือยัง…”

ก็ตอบไปว่า “เตรียมเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดอยู่ในแฟ้มนั่นไง….”

“ม่ายช่าย ไอหมายถึง แบบชาวพุทธน่ะ.. ยูเป็นชาวพุทธไม่ใช่เหรอ.. มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในขณะเดินทาง….”

ผมเลยแกล้งตอบไปว่า “… ทำไมต้องมีด้วยล่ะ…..”

เค้าว่า “ก็ไอเห็นชาวพุทธต้องมีไม่ใช่หรือ แบบว่าเป็นสัญลักษณ์น่ะ”

ผมก็เลยยิ้มๆ…. ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ… เค้าก็ล้วงของชิ้นนึงออกมาจากกระเป๋าเสื้อให้ดู แล้วพูดว่า “ดูซิไอไม่ได้เป็นชาวพุทธซะหน่อย ยังพก Buddha เลย…” 
…….ไม่ต้องบอก คุณเก๋ก็คงพอจะเดาออกว่า Buddha ที่เค้าว่านั้น คืออะไร… พระสมเด็จชะนีปี 48 -49 ที่ภรรยาคนไทยเค้าเพิ่งให้มาเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านนี่เอง…!!

ผมพลิกดูหน้าหลัง 2-3 รอบ แล้วก็ส่งคืนเค้าไป (ของเค้าสวยกว่าของผมเยอะเลยอ่ะ…) ในขณะที่เค้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน ภรรยาเค้านึกยังงัยก็ไม่รู้เอาพระสมเด็จองค์นี้ใส่กระเป๋าเสื้อให้ บอกว่า วันนี้รู้สึกแปลกๆ.. อยากให้ยูพกพระองค์นี้ไว้….

…ไม่รู้จะว่างัยจริงๆ ครับ บางทีเรื่องบังเอิญ กับปาฏิหาริย์ก็มีเพียงเส้นบางๆ คั่นไว้… แต่กรณีนี้บอกตามตรงว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่….!!

 พระที่มีพุทธคุณ แรงๆ แบบนี้เป็นของรักษายากครับ….. อาราธนาไว้บนหิ้งดีกว่า คู่กับพระเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา….