ขุนแผนพรายกุมาร สากหัก พิมพ์เล็ก เนื้อชมพู เลี่ยมทองหนา

18,000.00 ฿

รายละเอียดเพิ่มเติม

ขุนแผนพรายกุมาร สากหัก พิมพ์เล็ก เนื้อชมพู เลี่ยมทองหนา

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เป็นพระขุนแผนที่เกิดประสบการณ์ต่อผู้บูชามากมายจริงครับรุ่นนี้ .

…พระขุนแผนผงพรายกุมาร รุ่นสากหัก แต่คนมักจะนิยมเรียกว่า พระขุนแผนสากหัก จัดสร้างปี 2546 จัดสร้างในนามมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก โดยคุณชินพร สุขสถิตย์ เช่นกัน เพื่อมอบให้แก่ผู้ที่ร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคี ณ.วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป ต.แม่สิน อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ตามคำชักชวนของลุงแมง (หนึ่งในศิษย์ผู้รับใช้ใกล้ชิดลป.ทิม และเป็นผู้กดพิมพ์พระขุนแผนผงพรายกุมารฯ ในยุคนั้น) เมื่อวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2546 เพื่อนำเงินที่ได้สมทบทุนสร้างศาลาอเนกประสงค์ ชื่อ ศาลาศิษย์หลวงปู่ทิม ร่วมใจ แบ่งออกเป็นพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กคราวนี้เราจะมาลงรายละเอียดถึงประวัติการสร้างกันครับ

สำหรับชื่อ รุ่นสากหัก นั้นมาจากการที่ขณะตำผงครกแรกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2546 พอผงกำลังเข้าที่พร้อมจะนำมากดพิมพ์ได้สากหินที่กำลังใช้ตำผงนั้นเกิดหักกลางอย่างมหัศจรรย์ทันทีมีผู้เห็นกันหลายคน ผงพรายกุมารที่ใช้ทำพระขุนแผนรุ่นนี้ได้มาจากบรรดาศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ทิม ซึ่งต่างเก็บไว้คนละเล็กคนละน้อยเพราะทุกคนรู้ดีว่าผงพรายกุมาร ของ หลวงปู่ทิม อาจารย์ของพวกตนนั้นเป็นผงที่หาผู้ทำให้ขลังและศักสิทธิ์จริง ๆ นั้นหายากมาก แต่หลวงปู่ทิมท่านก็ทำสำเร็จจนพระขุนแผนผงพรายของท่านโด่งดังไม่แพ้พระขุนแผนเก่า ๆ ที่ขุดออกมาจากกรุทั้งในด้านราคาและความศักสิทธิ์ พระขุนแผนสากหัก ถอดแบบจากเค้าโครงเดิมของพระขุนแผนรุ่นแรกของหลวงปู่ทิม แต่มีการแต่งพิมพ์เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความแตกต่าง และมีเอกลักษณ์ในตัวเอง

โดยมีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก แบ่งตามวรรณะของสีเนื้อออกเป็น 3 สี คือ สีขาว สีแดง และสีดำ โดยพิมพ์ใหญ่สร้าง 5,556 องค์ พิมพ์เล็กสร้าง 6,996 องค์ โดยเฉพาะพิมพ์ใหญ่นั้นแบ่งออกเป็นสองแบบใหญ่คือแบบฝังตะกรุด และแบบไม่ฝังตะกรุด เฉพาะแบบฝังตะกรุดจะสามารถแบ่งแยกตามตัวตะกรุดออกได้ดังนี้

– พิมพ์ใหญ่ฝังตะกรุดทองคำ 96 องค์

– พิมพ์ใหญ่ฝังตะกรุดเงิน 256 องค์

– พิมพ์ใหญ่ฝังตะกรุดทองแดง 356 องค์

นอกนั้นจะฝังอย่างอื่นแทน เช่น พลอยเสก (ปกติ) พระขุนพลจิ๋ว (พิเศษ) เป็นต้น แต่ในส่วนของพิมพ์เล็กไม่ได้ฝังตะกรุดและพลอยเสก จึงทำให้การเล่นหาไม่สับสนครับ ในเรื่องการอธิษฐานจิตนั้นได้รับการปลุกเสกเดี่ยวโดยพระครูธรรมรังษี (หลวงปู่ธรรมรังษี ) วัดพระบาทเขาพนมดิน จ.สุรินทร์ แล้วยังได้นำพระชุดนี้ทั้งหมดในส่วนที่เหลือจากการแจกผู้ร่วมงานทอดกฐินในวันดังกล่าวแล้วเข้าพิธีพุทธาภิเษกในงานเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ ที่วัดละหารไร่ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2546 อีกวาระหนึ่ง เพื่อให้พระเกจิฯผู้ทรงคุณประจุพลังพุทธาคมให้เพิ่มขึ้นอีก

โดยมีพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม นั่งปรกปลุกเสก คุมทิศทั้งสี่ มีดังนี้

1.หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระบาทเขาพนมดิน จ.สุรินทร์ พระผู้ทรงอภิญญาแห่งเมืองอีสานใต้

2.หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา พระเกจิชื่อดังแห่งลุ่มน้ำบางปะกง

3.หลวงพ่อแจ่ม วัดเขาสำเภาทอง จ.ระยอง พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองระยอง

4.หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง พระเกจิชื่อดัง ศิษย์เอกรูปเดียวของหลวงปู่ทิม อิสริโก

นับได้ว่าพระขุนแผนสากหัก เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ชื่นชอบและปรารถนาจะได้พระขุนแผนผงพรายกุมารฯ ของสายนี้ไว้บูชาติดตัวครับ ว่ากันว่าเป็นพระขุนแผนอีกชุดหนึ่งในยุคปัจจุบันที่มีกระแสตอบรับในการเช่าหาและราคาในแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ จนไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไปครับ

…… ย้อนปฐมกำเนิด “ไฟลุกครก” 2515 สู่ “สากหัก” 2546 อิทธิมงคลมากบารมีที่ไม่แปลกต่าง ..

…อีกหนึ่งความอัศจรรย์แห่งพระขุนแผนพรายกุมาร สานต่อตำนานหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

เป็นความแตกต่าง ที่ไม่แปลกต่าง อย่างลงตัวและสมบูรณ์พร้อมที่สุดเท่าที่เคยมีมา กับการสร้างพระเครื่องพิมพ์พระขุนแผนพรายกุมาร ยุคหลังหลวงปู่ทิม อิสริโก พระอาจารย์ใหญ่วัดละหารไร่ ละสังขารลงเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2518 คล้ายทั้งบุคคลแวดล้อม พิมพ์ทรง เนื้อหามวลสาร เจตนาความตั้งใจอันบริสุทธิ์เพื่อพระพุทธศาสนาโดยแท้ แม้สร้างเสกโดยพระคณาจารย์ผู้ทรงฌานสมาบัติ และสูงล้ำด้วยบุญบารมีพลังจิตอันแข็งแกร่งแล้ว แต่เจ้าของเดิมก็ลงมาทำให้ !?!! ด้วยเมตตาอันสูงสุด ตามคำรับรองที่ไม่อาจก้าวล่วงใดๆ ไปได้เลย โดยครั้งนี้เป็นการย้อนตำนานความศักดิ์สิทธิ์สร้างเฉพาะพระขุนแผนพรายกุมารที่มากด้วยพลังศรัทธาของเหล่าสานุศิษย์หลวงปู่ทิม ผู้คอยอุปัฏฐากดูแลและมีส่วนสร้างพระเครื่องตามดำริเจตนา เมื่อครั้งหลวงปู่ทิมยังดำรงขันธ์อยู่

จากหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีของมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก โดย อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ประธานมูลนิธิฯ ทำให้ทราบว่า สมัยแรกๆ เมื่อครั้งอาจารย์ชินพรได้เข้านมัสการหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ได้พบกับคุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ ศิษย์เอกคนหนึ่งของหลวงปู่ทิม ที่ปัจจุบันท่านเป็นทั้งเจ้าของร้านพระเครื่องและนักเขียนชื่อดังของนิตยสารพระเครื่องร่มโพธิ์ นามปากกา พ.เด็กวัด และยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบารมีของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ อื่นๆ อีก คุณเพียรวิทย์ได้ชี้ให้อาจารย์ชินพร ดูครกหินใบเขื่องที่แยกออกเป็นสองเสี่ยงใต้ถุนหอฉันหลังเก่าที่รื้อไปแล้ว คุณเพียรวิทย์บอกว่า ครกหินใบนี้แตกขณะตำผงพรายกุมาร อาจารย์ชินพรไม่เคยได้ยินคำว่า ผงพรายกุมารมาก่อน จึงถามคุณเพียรวิทย์ว่า ผงอะไร? คุณเพียรวิทย์ตอบและอธิบายให้ฟังว่าคือ ผงสุดวิเศษที่ทำจากหัวกระโหลกเด็กตายทั้งกลม หรือหัวกระโหลกผีท้องแก่ ที่ลูกตายคาท้องแม่ เมื่อเอามาตำจนใกล้จะละเอียดครกหินที่ใช้ทำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง! ครั้งนั้นอาจารย์ชินพรยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก คิดว่าคุณเพียรวิทย์ ฉายหนังให้ดูเสียมากกว่า แม้แต่หลวงปู่ทิม ท่านลงมาเจิมรถยนต์ให้อาจารย์ชินพรในวันที่พบกันครั้งแรก ท่านเพ่งและเอาสองมือแตะหน้าหม้อรถโฟลต์ รถก็เคลื่อนได้ทั้งๆ ที่จอดไว้บนพื้นทราย เห็นจะๆ อย่างนี้ อาจารย์ชินพรก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่อง “ครกแตก” ครับ มันเป็นไปได้อย่างไร? จนเมื่อประมาณกลางๆ ปี 2518 มีคนมาเล่าให้อาจารย์ชินพรฟังว่า นายสำเภา อัมฤทธิ์ หรือ ลุงครอก เอาผงพรายไปสร้างพระขุนแผนตำผงจนเกิดไฟลุกท่วมครก แต่ครั้งนี้มีพยานหลายคนมายืนยันว่า เขาเห็นมากับตา และต้องไปนิมนต์หลวงปู่ทิมมาดับไฟลุกครกตอนนายครอกตำผงทำพระขุนแผน รู้อย่างนี้แล้ว อาจารย์ชินพรก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเพราะไม่เห็นด้วยตาตัวเอง คิดว่ามันเป็นเรื่องของปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อโลหะสองชนิดมากระทบกันแรงๆ ก็ย่อมทำให้เกิดประกายไฟและเมื่อมีวัสดุไวไฟอยู่ด้วยก็เลยทำให้เกิดไฟลุกในครกได้

ลุงครอกเล่าให้อาจารย์ชินพรฟังข้างวิหารรูปหล่อหลวงปู่ทิมว่า เมื่อหลวงปู่ทิมและกรรมการวัดละหารไร่ จ้างให้นายครอกทำพระขุนแผนพรายกุมาร องค์ละ 1 บาท บอกสูตรในการผสมผงแล้วก็ให้ผงพรายมาค่อนกระป๋องนมข้น บอกว่าเมื่อตำผงได้ที่ไม่ติดมือแล้วให้ตักผงพรายกุมารผสมลงไป 1 ช้อนแกง นายครอกเล่าว่าเมื่อเอาผงพรายที่หลวงปู่ทิมให้มาใส่ครกตำได้ประเดี๋ยวเดียวก็เกิดไฟลุกในครก จะทำอย่างไรก็ไม่ดับเปลวไฟที่ลุกเป็นสีออกเขียวคล้ายไฟอ๊อก ร้อนมากๆ เมื่อหมดปัญญาที่จะดับ ลุงครอกก็ให้นายแดง ลูกชายหลวงลุงรอด (ขรัวรองจากหลวงปู่ทิม) ขับรถโตโยต้าไปรับหลวงปู่ทิมมาดับไฟ เมื่อหลวงปู่ทิมมาถึงก็เอามือลูบเหนือครก ไฟก็ดับสนิท แต่ผงกลายเป็นถ่านดำหมดทั้งครก แล้วหลวงปู่บอกให้เก็บผงนี้ไว้ เอาไว้ผสมกับผงที่จะทำพระขุนแผนในครกต่างๆ ต่อไป นี่แหละครับเกล็ดเล็กน้อยในตำนาน พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นแรก ไฟลุกครก

ครั้งนี้ ในช่วงปี 2546 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2546 ซึ่งเป็นวันดีของปี และเป็นมหามงคลวันแม่แห่งชาติ ตำนานความรักความผูกพันของแม่ที่รักลูกของย่าส้มและลูก (พรายกุมาร) ก็ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง โดยอาจารย์ชินพรถือเอาวันนี้เป็นวันเริ่มต้นในการสร้างพระขุนแผนพรายกุมารที่จะแจกเป็นของขวัญ หรือของสมนาคุณแก่ผู้ที่ร่วมทำบุญ ในการหาปัจจัยไปทอดกฐินสามัคคี ที่วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ ตำบลแม่สิน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมื่ออาจารย์ชินพรเอาผงพุทธคุณต่างๆ พร้อมผงพรายกุมารที่ พระทอง สุขวงศ์จันทร์ และลุงแมง มอบให้ แบบเพียวๆ หรือชนิดบริสุทธิ์เข้มข้นที่ทั้งคู่เก็บไว้ครั้งสร้างพระขุนแผนให้หลวงปู่ทิม แก่ท่านหนึ่งขวดเนสกาแฟขนาดเล็ก แถมบอกว่าเก็บไว้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ (หมายถึงหลวงปู่ทิม) ไม่กล้าเอาออกมาทำพระเพราะเกรงใจพระอาจารย์เชย เจ้าอาวาสวัดละหารไร่ เลยตัดสินใจมอบให้อาจารย์ชินพร เพื่อให้เอามาทำพระขุนแผนแจกงานกฐินในครั้งนี้ เมื่อทดลองตำเป็นครกแรก พอผงเริ่มละเอียดพอที่จะนำมากดเป็นพระได้ สากหินก็หักทันที! อาจารย์ชินพรขนลุกซู่ทั้งตัวครับ บารมีของหลวงปู่ทิมคงสำแดงอะไรบางอย่างเป็นสัญญาณบอกว่า พระขุนแผนรุ่นนี้ต้องขลังและศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่อาจารย์ชินพรได้เห็นหรือได้ทำคนเดียว มีผู้ร่วมเหตุการณ์อยู่ 3 คน คือ อาจารย์ชินพร , คุณมานิดา อาจารย์หญิงภรรยาอาจารย์ชินพร , และคุณนพดล ช่างโยธา ซี 4 สำนักระบายน้ำของกทม. ร่วมอยู่ในพิธีตำผงวันนั้นด้วย

…พระขุนแผนพรายกุมารทั้งพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ที่จะทำขึ้นสมนาคุณแก่ผู้ร่วมทอดกฐินครั้งนี้ เป็นหนึ่งในตระกูลผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม น่าจะได้ชื่อว่า พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก รุ่นที่เริ่มผงครกแรกแล้วสากหินที่เอามาตำผงเกิดหักขึ้นมา คงจะเป็นไปตามอาถรรพ์ของการสร้างผงพรายกุมารตามตำรับของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่เป็นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกพอเริ่มตำผงพรายครกหินขนาดใหญ่ที่ใช้ตำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง ครั้งที่สอง หลวงปู่ทิมให้นายครอก อัมฤทธิ์เอาไปทำที่บ้านพอตำผงได้ที่ไฟก็ลุกขึ้นในครก และครั้งที่ 3 เกิดที่บ้านอาจารย์ชินพร และเป็นสำนักงานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ในซอยเฉลิมสุข เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พอผงพรายกุมารที่ตำกำลังจะได้ที่สากหินที่ตำก็หักเป็นสองท่อน ก็คงเป็นเครื่องสำแดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการสร้างพระขุนแผนในครั้งนี้เป็นแน่ เพราะก่อนจะสร้างพระขุนแผนรุ่นนี้ทั้งอาจารย์ชินพร และลุงแมงต่างก็บอกกล่าวกับรูปหล่อหลวงปู่ทิม ทุกครั้งก็สวดมนต์ไหว้พระเพื่อขอให้บังเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต เพราะจะนำพระขุนแผนพรายกุมารชุดนี้ไปทำบุญทำกุศล แจกแก่ผู้ร่วมทำบุญทอดกฐิน ณ วัดพงเสลี่ยง จังหวัดสุโขทัย และขอให้พระขุนแผนพรายกุมารที่ทำขึ้นมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ นี่แหละครับเรื่องราวส่วนหนึ่งที่อาจารย์ชินพรเคยนำลงเผยแพร่ ในตอนที่ 2 ผู้เขียนจะนำรายละเอียดของมวลสารมาเพิ่มเติมให้ทราบอีกครั้ง รวมถึงเรื่องของพิธีและพระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกอย่างเข้มขลังเหนือเกินบรรยายแต่ไม่ผิดไปจากความคาดหมายกับประสบการณ์ตรงและผ่านที่ปรากฏขึ้นครับ

….ตอนที่ 2 …..เข้มข้นด้วยผงวิเศษมวลสาร มากด้วยบารมีพระคณาจารย์ผู้ปลุกเสก …

. .“สากหัก” ยอดขุนพลบ้านค่าย ยุคหลัง ที่ดังจนได้รับการกล่าวถึงว่ามีประสบการณ์มากที่สุด

เรื่องของมวลสารอันเอกอุอุดมมงคลของยอดขุนพลบ้านค่าย ปี 2546 หรือ พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก ที่นอกจากจะผสม ผงพรายกุมาร จำนวนมากและเข้มข้นกันแบบที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ซึ่งอาจารย์ชินพร ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ได้รับมอบจาก พระทอง สุขวงศ์จันทร์ และ ลุงแมง หรือ นายสิงหราช อัมฤทธิ์ (บุตรบุญธรรมและศิษย์อาวุโสหลวงปู่ทิม) แบบเพียวๆ หรือชนิดบริสุทธิ์เข้มข้นที่ทั้งคู่เก็บไว้ตั้งแต่ครั้งสร้างพระขุนแผนให้หลวงปู่ทิม ขนาดหนึ่งขวดเนสกาแฟขนาดเล็ก ลุงแมง ยังไปแสวงหา ว่านมงคลต่างๆ ตามตำราสร้างพระผงของหลวงปู่ทิม มามอบให้อาจารย์ชินพรอีกหลายชนิด สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ลุงแมงไปเสาะแสวงหามาให้ทำพระขุนแผนก็คือ ไม้หลงลืม หรือ เถาวัลย์หลง ไปหาอยู่นานโขจึงได้มา นอกจากนี้ยังมี ผงพรายกุมาร ผงพุทธคุณของหลวงปู่ทิม และของอาถรรพ์ต่างๆ ที่คณะศิษยานุศิษย์ท่านอื่นรวมถึงอาจารย์ชินพร นำมาร่วมอนุโมทนาผสมในการนี้เป็นอันมาก

คุณอุกฤษ ดุลย์เกษม หัวหน้าไปรษณีย์ นำพระผงรูปหล่อขนาดใหญ่พิเศษหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค มาให้ตำผสมลงไปในเนื้อพระขุนแผน ลูกศิษย์สายตรงของหลวงพ่อพรหมเห็นพระผงรูปเหมือนองค์นี้แล้ว บอกอาจารย์ชินพรให้เก็บเอาไว้เพราะหายากมากทำจากผงล้วนๆ ของหลวงพ่อพรหม มีเพียง 3 องค์เท่านั้น แต่ท่านก็เสียสละนำไปป่นใส่ลงในเนื้อพระขุนแผนรุ่นสากหัก ทิดเย็น คำมีได้แนะนำให้ใส่ วัสดุอาถรรพ์ต่างๆ เหมือนครั้งที่หลวงปู่ทิมสร้างพระขุนแผน ซึ่งทางอาจารย์ชินพรและคณะจัดสร้างก็ทำตามทุกอย่าง

คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ ศิษย์อุปฐากที่คอยดูแลปรนนิบัติและช่วยหลวงปู่ทิมสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่สมัยอยู่วัด ได้นำผงสำคัญของหลวงปู่ทิมที่เก็บไว้ คือผง “มหาปราบ” และ “กรามช้างน้ำ” (ของมงคลในแดนหิมพานต์) ซึ่งเป็นของรักของหวง ผสมลงไปในเนื้อพระครั้งนี้ เพื่อให้เป็นสุดยอดพระของขวัญที่คณะศิษยานุศิษย์พร้อมใจกันสร้างขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่า พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นสากหัก มีผงพรายกุมารและผงวิเศษต่างๆ ของหลวงปู่ทิม ผสมอยู่มากที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องมวลสารอย่างแน่นอน

แม้เรื่องกดพิมพ์ยังขลังและมีอาถรรพ์มาก ขนาดที่ว่าครูแรงสุดๆ จนเป็นที่ประจักษ์กันชัดๆ ทางกายเนื้อ ของผู้ที่กดพิมพ์ท่านหนึ่ง จนเมื่อเสร็จอาการจึงทุเลาขึ้น แต่เหนืออื่นใด พิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิต พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก ที่ได้รับการประสิทธิ์วิทยาคมความศักดิ์สิทธิ์จาก หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพุทธบาทเขาพนมดิน , หลวงปู่ธีร์ วัดจันทราวาส , หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด , หลวงปู่ชื่น วัดตาอี และหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ โดยแรกเริ่มเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2546 ระหว่างที่ หลวงปู่ธรรมรังษี ปลุกเสกพระผงชุดนี้ ได้เกิดเหตุการณ์อันอัศจรรย์ขึ้น พอหลวงปู่ธรรมรังษีแผ่เมตตาและอธิษฐานจิตก็ได้เกิดฝนตกอย่างหนัก พอท่านอธิษฐานจิตเสร็จฝนก็หยุดตกทันที หลวงปู่ธรรมรังษีถึงกับอุทานขึ้นมาว่า…พระผงที่ปลุกเสกให้ในครั้งนี้แรงเหลือเกิน เจ้าของลงมาช่วยทำให้ด้วย บรรยากาศการปลุกเสกแบบนี้ยังส่งต่อไปถึงเมื่อครั้งนิมนต์ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด เดินทางมาช่วยลงกำกับให้ที่วัดตาอีตามคำแนะนำของ หลวงปู่ชื่น คือระหว่างที่พระลูกวัดตาอีกำลังอ่านคำอัญเชิญครูบาอาจารย์อยู่นั้น ได้เกิดลมกระโชกเป็นระยะๆ และรุนแรงจนทุกคนที่อยู่ในโบสถ์ถึงกับหนาวเย็นยะเยือกไปตามๆ กัน ซักพักหนึ่งได้เกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างแรง หลวงปู่ผาดซึ่งนั่งอธิษฐานจิตอยู่ก็ลืมตาดู และเพ่งไปที่กล่องบรรจุพระผงชุดนี้อยู่เป็นเวลานานพอสมควร หลังจากนั้นจึงปะพรมน้ำมนต์ไปที่วัตถุมงคลทั้งหมดจนเสร็จ ปรากฏว่าพายุฝนก็หยุดตกทันที พระผงชุดนี้ทางคณะผู้สร้างยังนำไปให้ หลวงปู่ธีร์ วัดจันทราวาส ลงให้เป็นพิเศษอีกครั้ง พอท่านเห็นเช่นนั้น หลวงปู่ธีร์ก็บอกว่า…ไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว เจ้าของเขาลงมาทำให้ดีแล้ว นำไปใช้ได้เลย แต่ทางคณะผู้สร้างก็ขอความเมตตาให้ท่านปลุกเสกให้อีกครั้ง ซึ่งหลวงปู่ธีร์ก็เมตตาทำให้ และเพื่อให้พระชุดนี้เกิดความสมบูรณ์ที่สุดในด้านการบรรจุกระแสพุทธคุณตามเจตนาในการสร้าง จึงได้มอบให้หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ศิษย์เอกสายบรรพชิตที่ได้รับการรับรองจากหลวงปู่ทิม ปลุกเสกและอธิษฐานจิตเป็นรูปสุดท้าย จนหลวงพ่อสาครบอกว่า…ไม่ต้องใช้พระผงพรายรุ่นเก่า ซึ่งหายากและมีของปลอมมากที่สุด ให้ลองใช้ผงพรายกุมารรุ่นนี้ดู พุทธคุณก็ไม่แพ้ของเก่าแน่นอน ลองหาใช้ดูแล้วจะรู้เอง